สมาคมค้าทองคำประกาศราคาซื้อขาย
ลดลงบาทละ -2,350 บาท
แท่ง ซื้อ 18,900 ขาย 19,000 รูปพรรณ ซื้อ 18,631.64 ขาย 19,400.00 บาท
ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำตลาดโลกที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 16 เม.ย. พบว่า ราคาทองคำในตลาดสปอตหล่นลงมาต่ำสุดที่ 1,328 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ ก่อนจะค่อยๆดีดตัวขึ้นมาเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,340-1,370 เหรียญฯ ตอนเวลาบ่าย 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ทั้งนี้ นายกฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกลุ่มเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก เปิดเผยว่า ราคาทองคำเพียงแค่ 2 วัน คือ คืนวันที่ 12 เม.ย. กับวันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา ร่วงลงไปถึง 220 เหรียญฯ ถือเป็นการปรับตัวลงรุนแรงที่สุดในรอบ 33 ปี ทำให้ราคาทองคำกลับลงไปยืนในราคาต่ำสุดในรอบมากกว่า 2 ปีครึ่ง แม้จะดีดตัวขึ้นมาได้ในบ่ายวันเดียวกันนี้ เพราะเริ่มมีแรงซื้อทองคำในราคาต่ำในช่วงที่ตลาดในภูมิภาคเอเชียเปิดทำการ แต่สถานการณ์ยังไม่นิ่ง และมีความไม่แน่นอน
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น นายกฤชรัตน์กล่าวว่า จะทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าขาดทุนถึงขั้นหมดตัวกันหลายคน เพราะเป็นช่วงที่ตลาดทองคำไทยปิดทำการยาว ไม่สามารถปิดสถานะของสัญญาได้ ทำให้คนที่ถือสถานะซื้อในสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่ค้างไว้ตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. ขาดทุน เมื่อเปิดตลาดวันที่ 17 เม.ย. ต้องหาเงินมาเติมให้เท่ากับผลขาดทุนที่ราคาทองปรับตัวลง เท่าที่เช็กข้อมูลมีนักลงทุนรายใหญ่หลายรายที่ถือสัญญาซื้อไว้จำนวนมาก ขาดทุนรายละไม่ต่ำกว่า 10-30 ล้านบาท แต่ในทางตรงกันข้ามนักลงทุนที่ถือสถานะขายค้างไว้จากวันที่ 12 เม.ย. ก็จะได้กำไรอู้ฟู่จากราคาทองคำที่ปรับตัวลงมาเช่นกัน
นายกฤชรัตน์กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ที่ลงทุนในทองคำแท่งและทองรูปพรรณ หากราคาทองในตลาดโลกยังคงลงมาต่ำกว่าระดับ 1,400 เหรียญฯ ต่อออนซ์มากๆ ก็น่าจะมีคนไทยตื่นทองแห่ไปซื้อทองที่เยาวราชกันเต็มถนนแน่นอน เพราะเห็นว่าราคาถูกลงมามาก จากที่เคยขึ้นไปสูงถึงบาทละกว่า 27,000 บาท แต่ต้องระวังไว้อย่างที่เคยเตือนว่า ราคาทองคำโลกยังเป็นขาลง เพราะหากราคาหลุดระดับ 1,300 เหรียญฯลงมา อาจลงแรงต่อไปถึง 1,250-1,200 เหรียญฯ แต่หากไม่หลุด 1,300 เหรียญฯ ก็น่าซื้อเพื่อรอขายตอนราคาเด้งขึ้น เพราะสถานการณ์มีความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้นักลงทุนกอดทองไว้โดยไม่ยอมขายในช่วงราคาดีดตัวขึ้น เพราะจะทำให้เสียเปรียบ
ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัทสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TFEX กล่าวว่า ตลอดช่วงวันหยุด TFEX ติดต่อและประชุมทางโทรศัพท์กับโบรกเกอร์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นนายหน้าตลาดโกลด์ฟิว–เจอร์ส เพื่อให้สำรวจและติดต่อสอบถามลูกค้าที่ถือสถานะซื้อในโกลด์ฟิวเจอร์สที่ต้องนำเงินมาวางเพิ่มตามราคาทองคำที่ปรับตัวลงในวันที่ 17 เม.ย. ที่ตลาดจะเปิดทำการวันแรกหลังหยุดยาว เพื่อให้ลูกค้าเตรียมตัวและเตรียมเงินที่ต้องวางเพิ่ม นอกจากนี้ยังให้ลูกค้ามีเวลาตัดสินใจว่าจะยังถือสถานะดังกล่าวต่อไปหรือไม่ หรือยอมรับผลขาดทุนใส่เงินเพิ่มตามจำนวนแล้วปิดสถานะไปเลย โดยเปิดตลาดโกลด์ ฟิวเจอร์ส วันที่ 17 เม.ย. จะใช้ราคาทองคำช่วงเช้าใกล้ตลาดเปิดเป็นราคาอ้างอิง เพื่อคำนวณว่า ลูกค้าจะต้องใส่เงินเพิ่มเท่าไร
นางเกศราระบุว่า จากการประเมินตัวเลขคร่าวๆ พบว่า ณ วันที่ 12 เม.ย. มีผู้ที่ถือสัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สขนาด 10 บาททองคำ ที่มีสถานะคงค้างอยู่ประมาณ 14,000 สัญญา และสัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สขนาด 50 บาททองคำอีกกว่า 8,000 สัญญาที่ต้องนำเงินประกันมาวางเพิ่ม เช่น สัญญาโกลด์ ฟิวเจอร์สทองคำขนาด 50 บาท ซึ่งได้วางเงินประกันขั้นต้นในการซื้อขายไว้สัญญาละ 58,000 บาท แต่ล่าสุดราคาทองคำลงมาอยู่ที่บาทละ 18,600-18,700 บาท คิดจากราคาทองคำตลาดโลกที่ 1,362 เหรียญต่อออนซ์ ลดลงไปบาทละ 2,700 บาท จากราคาอ้างอิงเมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่บาทละ 21,370 บาท ดังนั้น โกลด์ฟิวเจอร์สทองคำ 50 บาท ก็จะขาดทุนต่อสัญญาประมาณ 135,000 จึงต้องใส่เงินเข้ามาเพิ่มอีกสัญญาละ 77,000 จากหลักประกันที่วางไว้เพียง 58,000 ใครที่มีสถานะซื้อไว้หลายสัญญาก็ต้องใส่เงินเพิ่มตามจำนวน
ส่วนการเตรียมการรับมือเปิดตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สวันที่ 17 เม.ย.นั้น นางเกศรากล่าวว่า หากราคาทองคำยังคงปรับตัวลงแรง ตลาดมีมาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ ให้หยุดพักการซื้อขายชั่วคราว หากราคาทองคำขึ้นหรือลงแตะระดับ 10 เปอร์เซ็นต์ก็จะหยุดพักการซื้อขายเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เพื่อให้นักลงทุนพักตัดสินใจ และดูข้อมูล หลังจากนั้นจะเปิดให้ซื้อขายต่อ โดยกำหนดให้ราคาขึ้นลงได้อีกไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ภายในวันนั้น แต่คิดว่าคงไม่น่ามีความผันผวนรุนแรงขนาดนั้น และที่ผ่านมาราคาทองคำไม่เคยขึ้นลงเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ภายในวันเดียว และ TFEX ก็ยังไม่เคยนำใช้มาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์มาก่อน
ขณะที่นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทออสสิริส โบรกเกอร์โกลด์ฟิวเจอร์ส และผู้ค้าทองคำรายใหญ่ของไทย แสดงความเห็นว่า เปิดตลาดค้าทองคำวันที่ 17 เม.ย. น่าจะได้เห็นคนไทยยังแห่มาซื้อทองที่ร้านทองตู้แดงย่านเยาวราช โดยเฉพาะหากราคาทองคำยังอยู่ในระดับ 1,300 เหรียญต่อออนซ์ต้นๆ เพราะถือว่าเป็นราคาที่ร่วงลงมาแรงมาก แต่ความรู้สึกของคนที่มาแห่ซื้อทองจะไม่เหมือนตอนมาเข้าคิวซื้อช่วงที่ราคาทองคำเป็นขาขึ้น เพราะตอนนั้นคนตื่นทอง กลัวแต่ว่าจะซื้อไม่ทันกลัวราคาทองยิ่งวิ่งขึ้นไปอีก แต่รอบนี้ราคาทองที่เป็นขาลง นักลงทุนก็จะยังมีอารมณ์กลัวว่าราคาทองคำจะลงต่อหรือไม่ ความวิตกกังวลยังมีอยู่ โดยเฉพาะหากราคาทองคำตกลงมามากๆ แล้วร้านทองจะไม่ยอมขายทองให้ลูกค้านั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะร้านทองตู้แดงมีรายได้จากส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาขาย และไม่ได้มีต้นทุนทองแพงกว่า เพราะร้านทองตู้แดงก็จะต้องมีการบริหารจัดการต้นทุนทองของตัวเองอยู่แล้ว เพราะต้องซื้อเข้าและขายออกตลอดเช่นเดียวกัน
“ผมไม่แปลกใจที่ราคาทองคำลงมาอยู่ 1,300 เหรียญต้นๆ แต่ที่แปลกใจคือ ทำไมราคามันลงมาเร็วมากใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น ราคาก็ลงมาถึงจุดที่เป็นพื้นฐานของราคาทองเลย เพราะต้นทุนการผลิตทองคำที่หน้าเหมืองทองราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,200-1,400 เหรียญ ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ และราคาทองคำที่ลงมาแรง มีปัจจัยสำคัญมาจากอารมณ์ของความตื่นกลัว หรืออาการแพนิค เซลส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาลงมาหลุดแนวรับสำคัญด้านเทคนิค ทำให้เกิดความตื่นกลัวเฮละโลขายตาม สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกเมื่อช่วงเช้าวันที่ 16 เม.ย.น่ากลัวมาก เพราะถูกถล่มขายจนกดราคาลงมาต่ำสุดถึง 1,320 เหรียญกว่าๆเท่านั้น แต่ตอนนี้กำลังดีขึ้นมาแล้ว แต่ยังต้องติดตามลุ้นกันต่อไป” นายบุญเลิศกล่าว
ผู้ค้าทองรายใหญ่ของไทยยังกล่าวด้วยว่า แรงขายทองคำมาจากจุดเริ่มต้นความวิตกว่าธนาคารกลางของประเทศที่มีปัญหาวิกฤติหนี้ในยุโรป เช่น อิตาลี จะเทขายทองคำสำรองออกมาตามไซปรัส และล่าสุดตัวเลขเศรษฐกิจจีนออกมาต่ำกว่าที่คาด ก็ถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการกดราคาทองคำ หากราคาทองคำในตลาดโลกปรับลงมามากๆ ก็น่าจับตาดูว่าธนาคารกลางของประเทศในเอเชีย ซึ่งมีทองคำเป็นทุนสำรองในสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับชาติตะวันตกจะเป็นฝ่ายเข้าซื้อทองคำเพิ่มหรือไม่ หากซื้อก็น่าจะเป็นตัวที่ช่วยพยุงราคาทองคำได้
ที่มา ไทยรัฐ